กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร? สิทธิ์ที่คุณต้องรู้เมื่อถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง คืออะไร? สิทธิ์ที่คุณต้องรู้เมื่อถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ในวันที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน การถูกเลิกจ้าง คือเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่หลายครั้งเราก็ได้ยินข่าวพนักงานถูกเลิกจ้างโดยที่นายจ้างไม่ยอมจ่ายค่าชดเชย หรือค้างจ่ายค่าจ้างบางส่วน กลายเป็นความเดือดร้อนที่ทำให้ลูกจ้างไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร
แต่จริงๆ แล้ว กฎหมายแรงงานไทยได้เตรียม “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” เอาไว้ เพื่อช่วยเหลือคนทำงานในสถานการณ์ที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กองทุนนี้ถือเป็นเกราะป้องกันสุดท้าย ที่ลูกจ้างควรรู้จัก เพราะอาจเป็นสิทธิ์ที่ช่วยให้คุณยังมีเงินก้อนสำหรับใช้ประคับประคองชีวิตในวันที่ไม่มั่นคง
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างคืออะไร?
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจัดตั้งขึ้นตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 อยู่ภายใต้การดูแลของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จุดประสงค์หลักคือ “ช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อน” กรณีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย หรือค้างค่าจ้าง/สิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด
การบริหารกองทุนเป็นแบบ “ไตรภาคี” มีคณะกรรมการ 15 คน ตัวแทนจาก ฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายรัฐบาล อย่างละ 5 คน เพื่อให้การทำงานเป็นธรรมรอบด้าน โดยมีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธาน
ใครเป็นผู้เกี่ยวข้อง?
- 
บังคับใช้กับนายจ้างที่มีลูกจ้าง 10 คนขึ้นไป
 - ลูกจ้างในกิจการทั่วไป : ต้องเข้าเป็นสมาชิก
 - กรณีลูกจ้างในกิจการที่ไม่อยู่ในบังคับ สามารถเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างได้ : โดยสมัครใจ เช่น กิจการที่มีลูกจ้างไม่ถึง 10 คน
 
- ลูกจ้างในมูลนิธิ สมาคม งานบ้าน
- โรงเรียนเอกชนเฉพาะในส่วนของผู้อำนวยการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา
- ลูกจ้างที่อยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- นายจ้างที่จัดให้มีการสงเคราะห์ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กฎกระทรวงกำหนด
ประโยชน์ของกองทุน
 
1) สำหรับลูกจ้าง
- มีเงินออมเมื่อออกจากงาน
 - มีหลักประกันในอนาคต
 - เสริมขวัญกำลังใจในการทำงาน
 
2) สำหรับนายจ้าง
- ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี
 - สร้างความผูกพันในองค์กร
 - จูงใจลูกจ้างให้อยู่กับองค์กรระยะยาว
 
สิทธิ์ที่ลูกจ้างได้รับจากกองทุน
 
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างสามารถช่วยเหลือได้ 2 กรณีหลัก
1) ค่าชดเชยที่นายจ้างไม่จ่าย หากลูกจ้างถูกเลิกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชย แต่กลับไม่ได้รับเงิน กองทุนจะจ่ายแทนในบางส่วน ตามเพดานที่กำหนด เช่น
- ทำงาน 120 วัน–ไม่ถึง 6 ปี : ได้รับ 30 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน
 - ทำงาน 6 ปีขึ้นไป : ได้รับ 60 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน
 
2) เงินอื่นๆ ที่นายจ้างค้างจ่าย เช่น ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา หรือสิทธิประโยชน์อื่นที่กฎหมายแรงงานกำหนด กองทุนสามารถจ่ายแทนได้ โดยไม่เกิน 60 เท่าของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน
ลูกจ้างจะได้เงินตอนไหน?
1) กรณีออกจากงาน (ทุกสาเหตุ)
- เลิกจ้าง / เกษียณ / ลาออก / สิ้นสุดสัญญา
 
2) กรณีเสียชีวิต
- ให้บุคคลที่ระบุไว้ในแบบ สกล.5
 - หากไม่ระบุ ตกแก่ บุตร คู่สมรส บิดา-มารดา
 
หน้าที่ของนายจ้าง
- หักค่าจ้างลูกจ้างเพื่อนำส่งเป็นเงินสะสม
 - จ่ายเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างเพื่อส่งเข้ากองทุน
 - ยื่นแบบแสดงรายชื่อลูกจ้าง (สกล.3, สกล.3/1)
 - แบบแจ้งการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้าง (สกล.3/2)
 
หน้าที่ของลูกจ้าง
- เข้าเป็นสมาชิก (หากอยู่ในกิจการที่อยู่ใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541)
 - แจ้งข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงให้นายจ้างทราบ เช่น ชื่อ-นามสกุล สัญชาติ
 - แจ้งข้อมูลผู้มีสิทธิ์รับเงินในกรณีเสียชีวิต (แบบ สกล.5)
 
ทำไมกองทุนนี้สำคัญ?
เพราะในความเป็นจริง ไม่ใช่นายจ้างทุกคนจะทำตามกฎหมาย 100% และเมื่อเกิดปัญหา การไปต่อสู้คดีในศาลแรงงานอาจใช้เวลานาน กว่าลูกจ้างจะได้เงินก็อาจสายเกินไป แต่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างทำให้คุณ ยังมีเงินก้อนฉุกเฉิน มาใช้ก่อน
HR และนายจ้างควรรู้อะไร?
สำหรับ HR และนายจ้าง กองทุนนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะหากบริษัทมีการเลิกจ้างโดยไม่ชำระค่าชดเชย กองทุนสามารถเรียกเก็บเงินที่จ่ายแทนลูกจ้างคืนจากนายจ้าง พร้อมดอกเบี้ยถึง 15% ต่อปี ซึ่งเป็นภาระหนักที่ไม่ควรมองข้าม
ดังนั้นการบริหารจัดการแรงงานอย่างโปร่งใสและทำตามกฎหมายจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่ามาก
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิดถึงในวันที่งานยังมั่นคง แต่เมื่อสถานการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นจริง นี่คือ สิทธิ์ที่ช่วยให้ลูกจ้างไม่ถูกทอดทิ้ง
เพราะในวันที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” จะทำหน้าที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย ให้คุณยังยืนหยัดและเริ่มต้นใหม่ได้
- หากคุณเป็นลูกจ้าง อย่าลืมทำความเข้าใจสิทธิ์นี้ให้ดี
 
หากคุณเป็น HR หรือเจ้าของกิจการ การรู้จักกองทุนนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นสิ่งสะท้อนความรับผิดชอบต่อคนทำงานในองค์กร
