Latest HR Knowledge

รู้เท่าทัน ป้องกัน COVID 19

รู้เท่าทัน ป้องกัน COVID-19 จากสถานการณ์โควิดที่แพร่ระบาด สร้างความกังวลให้กับผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะระลอกใหม่ ในประเทศไทย ข้อมูลยืนยันเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 ได้รับการยืนยันจาก นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์วิด -19 (ศบค.) ได้ทำการแถลงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ระลอกใหม่ พบผู้ติดเชื้อ 1443 ราย เสียชีวิต 4 ศพแล้ว ซึ่งเชื้อไวรัส โควิด-19หรือไวรัสโคโรนานี้จุดเริ่มต้นมาจากประเทศจีน ในเมืองอู่ฮั่น เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ได้ค้นพบว่าเกิดเชื้อไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 จากสัตว์สู่คนครั้งแรก นั่นคือค้างคาว จนเริ่มมาแพร่เชื้อจากคนไปสู่คน และเริ่มมีการกลายพันธ์ของเชื้อไวรัส ที่เจอทั่วโลก 

1. สายพันธุ์ B.1.1.7(GR,G) ประเทศที่พบครั้งแรกในอังกฤษ เมื่อเดือนกันยายน 2563 ส่วนใหญ่อยู่ในอังกฤษ มีการกระจายไปในประเทศอเมริกา และประเทศอื่นๆ ในยุโรปแล้ว โดยตำแหน่งที่กลายพันธุ์เป็นตำแหน่งพิเศษ อยู่บนผิวไวรัส ทำให้ไวรัสมีคุณสมบัติจับผิวเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น อีกทั้งในห้องทดลอง พบว่า ไวรัสมีประสิทธิภาพในการแบ่งตัวดีขึ้น เป็นสายพันธ์ที่ติดเร็ว ติดง่าย เพราะฉะนั้น ไวรัสในโพรงจมูกก็จะมาก ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้ ปัจจุบันมีหลักฐานจาก รพ.อังกฤษหลายแห่งเห็นว่า สายพันธุ์นี้สัมพันธ์กับอัตราการป่วยและเสียชีวิตมากกว่าเดิมเล็กน้อย ปัจจุบันกระจายไปแล้ว 94 ประเทศทั่วโลก ซึ่งระลอกใหม่นี้ ได้มีการกลายพันธุ์เชื้อ B.1.1.7 ถือเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว อาการรุนแรง และสร้างความเสียหายให้กับประชาชนในวงกว้าง สำหรับโควิดสายพันธุ์อังกฤษกลายพันธุ์ รอบนี้ผู้ติดเชื้อมักจะมีอาการรุนแรงมากกว่ารอบก่อนที่คนส่วนใหญ่ไม่มีอาการ แต่รอบนี้จะมีไข้ น้ำมูก ที่ผ่านมาในอังกฤษเองพบอัตราการเสียชีวิตจาก โควิดสายพันธุ์อังกฤษกลายพันธุ์ มากขึ้น

2.สายพันธุ์B.1.351(GH,G) ประเทศที่พบครั้งแรกที่ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อเดือนตุลาคม 2563 ทำให้ไวรัสจับตัวเซลล์ได้ดีขึ้น ติดเชื้อง่ายขึ้น อาจจะสามารถหนีภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น อาจจะมีผลต่อประสิทธิภาพวัคซีนลดลง เพราะเป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยใช้สายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งมีหลายประเทศมีการทดสอบวัคซีน พบว่าประสิทธิภาพวัคซีนลดลงเมื่อมีผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ ซึ่งปัจจุบันพบสายพันธุ์นี้ในหลายประเทศของทวีปแอฟริกาใต้ ตรวจพบใน 46 ประเทศทั่วโลก

3.สายพันธุ์P.1(GR) สายพันธุ์บราซิล พบครั้งแรก คือ ประเทศบราซิล เมื่อธันวาคม 2563 โดยพบว่าพลาสมาหรือระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จับกับไวรัสเหล่านี้ได้น้อยลงจริงๆ เมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเหล่านี้ ปัจจุบันตรวจพบ 35 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันเชื้อนี้มีการกลายพันธุ์ คือ E484K ซึ่งมีฉายาว่า "ตัวกลายพันธุ์จอมหลบหนี" เพราะมันทำให้ไวรัสสามารถเอาตัวรอดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และมันยังสามารถทะลุทะลวงเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายมาก ราวกับว่ามัน คือ กุญแจที่เปิดทุกประตูให้ไวรัสไหลพรั่งพรูเข้าไป แม้ผู้ป่วยรักษาหายแล้วยังสามารถติดเชื้อซ้ำได้ วัคซีนที่ใช้ปัจจุบัน Pfizer, AstraZeneca และ CoronaVac ใช้ได้ผลเพียงบางส่วน ซึ่งข่าวร้ายยิ่งกว่านี้คือ ไม่ได้มีแค่ P1 สายพันธุ์เดียว ยังมี P2 ที่กำลังระบาดใน รีโอเดจาเนโร และ P4 ที่เพิ่งถูกค้นพบในพื้นที่รัฐมีนัสเชไรส์
ปัจจุบันมีการพบเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย B1.617 ปรากฏครั้งแรกในอินเดียเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2020 โดยมีการกลายพันธุ์ลักษณะเฉพาะ 2 ตำแหน่ง ได้แก่ อี484คิว (E484Q) และแอล452อาร์ (L452R) ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบในสายพันธุ์ไวรัสที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้าง และรวดเร็ว โดยพบการกลายพันธุ์ 2 ตำแหน่ง คือที่หนามโปรตีนของไวรัส ทำให้ไวรัสยึดเกาะเซลล์ร่างกายมนุษย์แน่นขึ้น

รวมถึง สายพันธุ์บีวี-1 (BV-1) พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร เป็นพันธุ์ที่น่ากังวล เพราะไม่ตอบสนองต่อแอนติบอดี ก่อเชื้อนานกว่าเชื้อไวรัสฯ สายพันธุ์อื่น แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและต่อด้านแอนติบอดีลบล้างฤทธิ์ในระดับสูง นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาตรวจหาเชื้อไวรัส กลายพันธุ์นี้ต่อไป

จะเห็นได้ว่า แนวโน้มของการกลายพันธุ์นับว่ายิ่งมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ทั่วโลก แม้ว่าการกายพันธุ์เหล่านี้มีความคล้ายคลึงกัน และอาจมีส่วนเพิ่มความสามารถการแพร่ระบาด นอกจากนั้นเชื้อบางส่วนยังลดทอนตัวลบล้างฤทธิ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมาตรการต่างๆ รวมถึงวัคซีนด้วย สิ่งที่เราทุกคนทำได้คือ ลดความเสี่ยง และป้องกันตัวเองไม่ออกไปรับเชื้อ

เมื่อจำเป็นต้องออกจากบ้าน

1. ใส่หน้ากากอนามัย ให้กระชับใบหน้า ครอบทั้งปากและจมูก

2. พกเจลแอลกอฮอล์ และสเปรย์แอลกอฮอล์ติดตัวไว้ตลอดเวลา

3. เมื่อไอจามควรพกกระดาษทิชชู่ติดตัว ไม่จับหรือสัมผัสพื้นผิวต่างๆ

4. การใช้ยานพาหนะโดยรถส่วนตัว จะปลอดภัยที่สุด

5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งของให้ได้มากที่สุด หรือหากเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้ฉีดแอลกอฮอล์ก่อนสัมผัส

6. เว้นระยะห่างจากคนรอบข้าง 1 – 2 เมตร

7. ไม่ให้ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า ดวงตา จมูก ปาก ระหว่างโดยสารบนรถสาธารณะ

8. ล้างมือทันที หลังลงจากรถโดยสาร และหลังจากถึงจุดหมายปลายทาง

9. งดการทักทายด้วยวิธีจับมือ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางกายภาพที่ไม่จำเป็น

10. เมื่อถึงบ้าน อาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ทำความสะอาดสิ่งของต่างๆ ที่นำติดตัวออกไปด้วย เช่น กระเป๋า รองเท้า กุญแจ

11. รับประทานอาหารสุก ร้อน ใช้ช้อนกลาง

นอกจากนี้หากพบว่าตนเอง มีไข้สูง > 37.5 องศา ไอแห้งๆ ไอแบบมีเสมหะ เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว หายใจเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก หากมีอาการดังกล่าว รีบไปพบแพทย์ทันที!!!

สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนโชคดี มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์และมีความสุขในทุกๆ วันและอย่าลืมติดตามสถานการณ์โควิด อย่างใกล้ชิด การ์ดอย่าตก ปลอดภัยทุกครั้ง เมื่อต้องออกจากบ้านและอย่าลืมออกกำลังกายให้แข็งแรง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเครียดจากความหวาดระแวงเกี่ยวกับเชื้อโควิด-19 กันนะคะ

Contact button