พนักงานไม่พูด แต่ใจไม่อยู่แล้ว? สัญญาณที่ควรรู้ ก่อนสายเกินไป

ในโลกการทำงานยุคใหม่ หลายองค์กรกำลังเผชิญกับคลื่นเงียบที่น่ากลัวกว่าการลาออกเสียอีก นั่นคือภาวะที่พนักงานยังนั่งอยู่ตรงนั้น แต่หัวใจและสมองไปที่อื่นแล้วไม่ใช่แค่เรื่องของ Quiet Quitting (ทำงานแค่ตามหน้าที่) แต่เป็นสัญญาณที่ลึกกว่านั้นมาก พนักงานเหล่านี้ยังทำงาน (เพราะต้องรับเงินเดือน) แต่กำลังมองหาโอกาสใหม่ ๆ อย่างลับ ๆ และเตรียมพร้อมที่จะ Ghosting หรือหายตัวไปจากองค์กรเมื่อได้งานใหม่ทันทีในฐานะผู้นำหรือ HR การเพิกเฉยต่อสัญญาณเหล่านี้ คือการยอมให้สมองไหลในองค์กร และทำให้คุณต้องเสียทั้งเวลาและงบประมาณในการหาคนใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและถ้าคุณไม่อยากตื่นมาพบว่าโต๊ะทำงานของพนักงานคนสำคัญว่างเปล่าในเช้าวันจันทร์ ลองมาถอดรหัส 4 สัญญาณอันตราย ที่บ่งบอกว่าเขาพร้อมไปแล้ว ก่อนจะสายเกินไป
4 สัญญาณอันตราย: เขาไม่ได้แค่เงียบ แต่เตรียมตัวไปแล้วพนักงานที่ตัดสินใจแล้วว่าพอ มักจะแสดงออกผ่านพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ซึ่งมักถูกมองข้ามว่าเป็นแค่เบิร์นเอาท์ หรือหมดไฟ แต่แท้จริงแล้วคือการถอนตัวทางใจออกจากองค์กรแล้ว
1. ความกระตือรือร้น กลายเป็น 0 จากที่เคยเป็นคนแรกที่อาสา เสนอไอเดียใหม่ ๆ ในที่ประชุม หรือถามคำถามเพื่อพัฒนาโปรเจกต์กลายเป็นไม่พูดเลยในที่ประชุม แม้แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง ตอบคำถามสั้นๆ เท่าที่จำเป็น (เช่น ครับ/ค่ะ ได้ครับ/ได้ค่ะ) และปฏิเสธงานนอกเหนือขอบเขตแบบสุภาพทันทีข้อสังเกต ไม่มีการแสดงความเห็นหรือข้อเสนอแนะใด ๆ แม้จะเป็นเรื่องที่เคยหงุดหงิดมาก่อน นั่นหมายความว่า เขาไม่ได้แคร์แล้วว่ามันจะดีขึ้นหรือไม่
2. ปิดประตูการสื่อสารจากที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน กินข้าวกลางวันด้วยกัน หรือเข้าร่วมกิจกรรมของบริษัท (แม้จะไม่เต็มใจนัก)กลายเป็นหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมทางสังคมโดยสิ้นเชิง ปิดกล้องในประชุมออนไลน์บ่อยขึ้น และใช้ช่องทางสื่อสารที่เป็นทางการเท่านั้น (เช่น อีเมล) แทนที่จะเป็นการเดินไปคุยแบบสบาย ๆข้อสังเกต ไม่ยอมรับมอบหมายงานที่ต้องมีการทำงานร่วมกับทีม (Cross-functional Project) เพราะต้องการให้งานของตัวเอง "จัดการได้ง่าย" และ "ส่งมอบได้จบในคนเดียว" ก่อนที่จะจากไป
3. มาตรฐานการทำงานลดลงแต่ไม่ตกจากที่เคยส่งงานด้วยคุณภาพ A+ หรือพยายามหาทางพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกลายเป็นส่งงานแค่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำ ไม่มีการตรวจสอบซ้ำ หรือปรับปรุงให้ดีกว่าที่คาดหวังไว้เล็กน้อยข้อสังเกต งานสำคัญที่เคยมอบหมายให้ทำระยะยาว อาจถูกชะลอ หรือไม่คืบหน้า อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเขาไม่ต้องการเริ่มผูกพันกับภาระงานที่จะทำให้การลาออกเป็นเรื่องยุ่งยาก
4. ภาระส่วนตัว เริ่มเยอะผิดปกติจากที่เคยลาป่วยหรือลากิจตามปกติกลายเป็นลากิจบ่อยขึ้น ในช่วงกลางวัน (เช่น ขอเข้างานสาย หรือออกไปทำธุระ 2-3 ชั่วโมง) และเริ่มใช้เวลางานทำธุระส่วนตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดข้อสังเกต ภาวะเหล่านี้มักเป็นสัญญาณของการ ไปสัมภาษณ์งาน หรือการจัดการเอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานใหม่ (เช่น การตรวจสุขภา การเปิดบัญชี)
สิ่งที่ HR และผู้นำต้องทำทันทีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากความเงียบนี้ ไม่ใช่การดึงดันให้พนักงานพูด แต่คือสื่อสารอย่างเปิดอก
1. ดึงเข้าสู่การสนทนา 1-on-1 แบบไม่ตัดสิน โดยหลีกเลี่ยงการกล่าวหาว่า "คุณดูไม่มีไฟเลย"ใช้คำถามที่เน้นความรู้สึก เช่น "ช่วงนี้ดูเงียบกว่าปกติ มีอะไรที่พอจะช่วยให้งานคุณราบรื่นขึ้นไหม?" หรือ "มีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่องานตอนนี้หรือเปล่า?"
2. เปิดโอกาสให้เลือกเสนอความยืดหยุ่นในการทำงาน (Hybrid/Flexible Hours) เพื่อดึงความรู้สึกเป็นเจ้าของกลับมามอบหมายโปรเจกต์ใหม่ที่ท้าทายแต่ไม่โอเวอร์โหลด เพื่อวัดระดับความสนใจและกระตุ้นไฟ
3. ให้ Feedback ที่เน้นการพัฒนาอย่าให้ Feedback แค่เรื่องผลลัพธ์ แต่ให้เน้นเรื่องศักยภาพและความก้าวหน้าในอนาคต (Career Path)ย้ำเตือนถึงคุณค่าและบทบาทสำคัญของเขาในทีม
4. ประเมินภาระงานและโครงสร้างบางครั้งความเงียบมาจากการแบกภาระมากเกินไป จนเหนื่อยเกินกว่าจะบ่นได้ทบทวนว่า Job Description และ Workload ในปัจจุบันมีความยุติธรรมและสมเหตุสมผลหรือไม่
การรักษาพนักงานที่มีความสามารถไว้ คือการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าการหาคนใหม่เสมอ หากองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับคลื่นความเงียบ และไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นสร้างบทสนทนาที่จริงใจและยั่งยืนได้อย่างไร ปรึกษา PeoplePlus วันนี้ เพื่อเปลี่ยนสัญญาณอันตรายให้เป็นโอกาสในการสร้างความผูกพันในองค์กรที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ก่อนที่พนักงานคนสำคัญของคุณจะกดปุ่ม Send ใบลาออก
